เรียบเรียงโดย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณชรต อิ่มณะรัญ หัวหน้าสาขาวิชาการเขียนบทและการกำกับภาพยนตร์และซีรีส์ วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
คลื่นเสียงเล็กๆ ที่สะเทือนถึงรากฐานของความไว้วางใจ เสียงสนทนาในคลิปที่หลุดรอดสู่สาธารณะจากผู้นำไทยเป็นมากกว่า “คลิปเสียง” แต่เป็นคลื่นสะเทือนที่ทำให้คำถามพื้นฐานที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนกลับมาอีกครั้ง
รัฐฟังประชาชนอยู่หรือไม่? หรือแม้แต่จะพูดกับประชาชนอย่างเข้าใจ ยังไม่สามารถทำได้
จากจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดของสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา สู่การเสียชีวิตของผู้คน การอพยพครั้งใหญ่ และแรงกระเพื่อมทางความรู้สึกในประเทศ ความเงียบและความไม่ชัดเจนจากรัฐได้เปิดเผยข้อเท็จจริงสำคัญอย่างหนึ่งว่า รัฐไทยยังไม่มีศักยภาพในการบริหาร “การรับรู้ของสังคม” ในภาวะวิกฤต
บทบาทที่รัฐควรทำ แต่ยังไม่เคยทำได้จริง
รัฐในโลกปัจจุบัน ไม่อาจเป็นเพียงองค์กรบริหารนโยบาย แต่ต้องเป็น “ผู้นำทางการสื่อสาร” ที่เข้าใจว่า ข้อมูล ความรู้สึก และความเข้าใจของประชาชนคือต้นทุนแห่งเสถียรภาพ ในวิชาการทางด้านนิเทศศาสตร์ เราเรียกสิ่งนี้ว่า “การบริหารการรับรู้” (Perception Management) และ “การสื่อสารในภาวะวิกฤต” (Crisis Communication) ซึ่งต้องอาศัยการทำงานที่เป็นระบบ ไม่ใช่การพูดเฉพาะเมื่อเสียงดังเกินจะนิ่งเงียบ หรือพูดเพียงเพื่อลดกระแสในโลกออนไลน์ ซึ่งสิ่งที่มองเห็นว่ารัฐไทยขาดคือ...
ณ วันนี้ประชาชนไม่ได้กลัวความจริง แต่พวกเขากลัวการถูกทอดทิ้งให้เผชิญกับความไม่รู้เพียงลำพัง
ในห้วงเวลาที่ “ความจริง” กลายเป็นของหายาก “ความเงียบของรัฐ” จึงรบกวนใจยิ่งกว่าข่าวลือ
ประชาชนในภาวะวิกฤต ต้องการมากกว่าแถลงการณ์
ในสถานการณ์เปราะบางเช่นนี้ รัฐไม่สามารถพึ่งพาเพียงโฆษกรัฐบาล หรือออกแถลงการณ์เชิงเทคนิคที่ไม่มีมนุษยภาพ (Empathic Resonance) และสิ่งที่ประชาชนต้องการคือ “ถ้อยคำที่มีความหมาย” และ “น้ำเสียงที่เข้าใจ” ไม่ใช่เพียงแค่ข้อมูล
เมื่อความสงบไม่ใช่การไร้เสียงปืน แต่คือการที่ประชาชนรู้สึกว่าพวกเขา “ได้รับฟัง” และ “ได้รับการอธิบาย” และสิ่งรัฐควรมี...
ไม่ใช่ทุกวิกฤตจะจบด้วยเสียงระเบิด แต่ทุกวิกฤตจะทวีความรุนแรงขึ้น หากรัฐพูดช้า พูดคลุมเครือ หรือไม่พูดเลย
นักวิชาการมองอนาคตไม่ใช่เพื่อทำนาย แต่เพื่อป้องกันการทำผิดซ้ำ
ในฐานะนักวิชาการด้านการสื่อสารมวลชน ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะด่วนตัดสินรัฐว่า “ล้มเหลว”
แต่คือการตั้งคำถามว่า เราจะป้องกัน “ความล้มเหลวซ้ำซ้อน” ได้อย่างไร คำตอบไม่ใช่การสร้างภาพ หรือสั่งปิดข่าว แต่คือการออกแบบกลไกสื่อสารที่จริงใจ ต่อเนื่อง และมีเป้าหมาย ในยุคที่ข่าวลือเร็วกว่าแถลงการณ์ และความรู้สึกเร็วกว่าเหตุผล รัฐไทยจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ไวเท่ากับความรู้สึกของประชาชน
สุดท้ายแล้ว สงครามครั้งนี้อาจไม่เกิดที่แนวชายแดน แต่สงครามครั้งนี้อาจเกิดขึ้นในใจของประชาชน ระหว่าง “ความกลัวที่ไม่ได้รับคำอธิบาย” กับ “ความหวังที่ยังรอให้รัฐฟัง” และถ้ารัฐยังไม่เริ่มพูดอย่างเข้าใจ สิ่งที่เหลืออยู่ จะไม่ใช่ความเงียบเชิงสันติ แต่คือ “ความเงียบที่ไม่มีใครกล้าถาม และไม่มีใครกล้าตอบ”
“ประเทศนี้จะไม่แพ้เพราะอาวุธของใคร แต่จะแพ้เพราะไม่รู้แม้กระทั่งจะพูดกับประชาชนของตัวเองอย่างไร!”
03 สิงหาคม 2568
ผู้ชม 37 ครั้ง